ชีวิตติดลบเพราะต้นทุนไม่เท่ากัน หรือเพราะไม่รู้จักวางแผน?
ชีวิตติดลบเพราะต้นทุนไม่เท่ากัน
หรือเพราะไม่รู้จักวางแผน?
ในสังคมไทยปัจจุบัน
ปัญหาหนี้สินกลายเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นหนี้บัตรเครดิต
หนี้นอกระบบ หรือแม้แต่หนี้จากสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือประชาชน
เช่น ธนาคารออมสิน
ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงเงินทุนที่ใช้แก้ปัญหาชีวิตเฉพาะหน้า
แต่ในความเป็นจริงกลับมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่กู้เงินแล้วนำไปใช้จ่ายโดยไม่เกิดประโยชน์ระยะยาว
บางครั้งกลายเป็นวงจรที่ไม่รู้จบ—กู้แล้วก็กู้ซ้ำ สุดท้ายชีวิตก็จมอยู่กับหนี้สิน
.
เรื่องราวของหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจริงข้อนี้
เธอเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้มีต้นทุนชีวิตสูงนัก ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้มั่งคั่ง
เมื่อถึงวัยทำงาน เธอมีความหวังว่าจะสามารถสร้างชีวิตที่ดีกว่าเดิม
แต่ด้วยความไม่รู้จักประมาณตนในการใช้จ่ายและขาดการวางแผนทางการเงิน
ทำให้ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยความตึงเครียด
.
เมื่อเงินเดือนแต่ละเดือนแทบไม่พอใช้
เธอเลือกทางออกด้วยการกู้เงินจากธนาคารออมสินมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
และเมื่อหนี้ก้อนแรกเริ่มก่อตัว เธอก็ยังคงกู้ต่อเพื่อหมุนเงิน
จนกลายเป็นหนี้สะสมที่โตขึ้นทุกเดือน
น่าเศร้าที่เธอไม่เพียงใช้เงินไปกับสิ่งจำเป็น แต่ยังยอมทุ่มเงินจำนวนไม่น้อยไปกับสินค้าฟุ่มเฟือย
เช่น กระเป๋าแบรนด์เนม เสื้อผ้าราคาแพง
หรือสิ่งของที่ไม่ก่อให้เกิดคุณค่าจริงในชีวิตประจำวัน
ผลลัพธ์คือชีวิตที่วนเวียนอยู่กับความเครียด ความทุกข์ และหนี้สินที่ไม่มีวันหมด
.
ตรงกันข้าม
มีหญิงอีกคนหนึ่งซึ่งเติบโตมาในบริบทใกล้เคียงกัน ครอบครัวก็ไม่ได้ร่ำรวย
ต้นทุนชีวิตก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่เธอเลือกกลับต่างไปอย่างสิ้นเชิง
แทนที่จะใช้เวลาหมดไปกับการซื้อหาสิ่งของ เธอกลับหันมาให้ความสำคัญกับการเรียนรู้
พัฒนาตนเอง และหาช่องทางเพิ่มรายได้
.
เธอเริ่มต้นด้วยการมองหางานเสริมเพื่อสร้างอาชีพที่
2 และต่อยอดไปสู่การสร้างรายได้ที่ 3 ในที่สุด
เมื่อมีรายได้มากกว่าค่าใช้จ่าย เธอจึงสามารถกันเงินไว้เป็นกองทุนฉุกเฉิน
จัดสรรเงินส่วนหนึ่งสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
และอีกส่วนหนึ่งสำหรับการออมระยะยาว ไม่เพียงเท่านั้น
เธอยังฝึกวินัยทางการเงินอย่างเคร่งครัด ใช้ชีวิตอย่างพอประมาณ เลือกซื้อของเท่าที่จำเป็น
และรู้จักประเมินคุณค่าที่แท้จริงของการใช้จ่ายในแต่ละครั้ง
.
ผลลัพธ์ของสองเส้นทางที่ต่างกันนี้สะท้อนความจริงที่สำคัญของสังคมไทยในปัจจุบันว่า
ต้นทุนชีวิตอาจมีผลต่อโอกาส แต่ไม่ใช่ตัวกำหนดชะตาชีวิตทั้งหมด
ความต่างที่แท้จริงคือ “ทัศนคติและวินัย” ที่แต่ละคนเลือกจะเดิน
.
หญิงคนแรกเลือกที่จะใช้เงินเพื่อตอบสนองความต้องการชั่วคราว
จนชีวิตเต็มไปด้วยหนี้สิน ขณะที่หญิงอีกคนหนึ่งเลือกใช้เงินอย่างมีเป้าหมาย
และลงทุนในอนาคตของตนเอง
ความแตกต่างนี้เองที่ทำให้ชีวิตของพวกเธอแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
.
เมื่อเรามองกลับมาที่สังคมรอบตัว
จะพบว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ติดอยู่ในวงจรหนี้สินไม่รู้จบ
หลายคนอ้างว่าเป็นเพราะครอบครัวไม่สนับสนุน หรือเพราะต้นทุนชีวิตน้อยกว่าคนอื่น
แต่ความจริงแล้ว สิ่งที่ทำให้หนี้สินกลายเป็นกับดัก ไม่ได้อยู่ที่จุดเริ่มต้น
แต่อยู่ที่การไม่รู้จักวางแผนและไม่กล้าเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของตัวเอง
.
ดังนั้น
เรื่องราวนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของคนสองคน แต่เป็นกระจกสะท้อนสังคมไทย
ที่กำลังเผชิญกับวิกฤตหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้นทุกปี
หากเราไม่เริ่มสร้างความรู้ทางการเงิน ไม่ฝึกวินัยการใช้จ่าย
และไม่รู้จักการออมเพื่ออนาคต วงจรหนี้สินจะยังคงเป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
.
ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนต้องถามตัวเองว่า
เราอยากใช้ชีวิตเหมือนหญิงคนแรกที่ถูกหนี้สินครอบงำ
หรืออยากเป็นเหมือนหญิงอีกคนที่แม้จะเริ่มต้นไม่ต่างกัน
แต่สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตด้วยการเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง
.
“การเป็นหนี้ไม่ใช่ความผิดพลาด
แต่การไม่วางแผนที่ดีต่างหากคือความผิดพลาดที่แท้จริง”
.
#ประกันกับต้อง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น